สหภาพแรงงาน เป็นองค์กรที่ลูกจ้างเป็นผู้จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายแรงงานสัมพันธ์ เพื่อทำหน้าที่เป็นตัวแทนของลูกจ้างในการแสวงหาและคุ้มครองผลประโยชน์เกี่ยวกับสภาพการจ้าง ส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง และระหว่างนายจ้างด้วยกันอีกด้วย

สหภาพแรงงานมีสภาพเป็นนิติบุคคล การกระทำการใดของสหภาพแรงงานจะต้องกระทำโดยผ่านทางผู้แทน ซึ่งก็คือ กรรมการสหภาพแรงงาน ซึ่งจะถูกคัดเลือกมาจากสมาชิกสหภาพแรงงานนั้น มีสัญชาติไทย และมีอายุไม่ต่ำกว่ายี่สิบปี การดำเนินกิจการของสหภาพแรงงานนั้นจะต้องอยู่ภายใต้ขอบเขตของวัตถุประสงค์ของสหภาพแรงงานนั้น แต่สหภาพแรงงานไม่สามารถกระทำการค้าได้ และจะเข้าไปเกี่ยวกับการเมืองไม่ได้

ผู้มีสิทธิจัดตั้งสหภาพแรงงาน จะต้องเป็นลูกจ้างของนายจ้างคนเดียวกัน หรือเป็นลูกจ้างซึ่งทำงานในกิจการประเภทเดียวกัน บรรลุนิติภาวะแล้ว และมีสัญชาติไทย จะต้องมีจำนวนลูกจ้างไม่น้อยกว่า ๑๐ คน เป็นผู้เริ่มก่อการ จะต้องมีข้อบังคับและจดทะเบียนต่อนายทะเบียนแล้ว จึงมีสภาพเป็นนิติบุคคล

กรรมการของสหภาพแรงงานจะได้รับสิทธิพิเศษจากกฎหมายแรงงานสัมพันธ์สามารถลาไปดำเนินกิจการของสหภาพแรงงานได้โดยไม่ถือเป็นวันลา หากไปในฐานะเป็นตัวแทนลูกจ้างในการเจรจา ไกล่เกลี่ยและชี้ขาดข้อพิพาทแรงงาน หรือไปร่วมประชุมตามที่ราชการกำหนดซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสหภาพแรงงานด้วย การที่กรรมการสหภาพแรงงานจะใช้สิทธินี้ ไม่ใช่ว่า เมื่อเห็นว่าเป็นไปตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนดแล้ว คิดจะไปก็ไปได้เลย กรรมการสหภาพแรงงานจะต้องแจ้งให้นายจ้างทราบล่วงหน้าถึงเหตุที่ลาพร้อมแสดงหลักฐานที่เกี่ยวข้องด้วย  หากเป็นการลาใดๆ ที่นอกเหนือจากที่กล่าวมานี้ คณะกรรมการของสหภาพแรงงานจะต้องขอลาไปตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของนายจ้าง

สำหรับคุณสมบัติของบุคคลที่จะสมัครเข้าเป็นสมาชิกของสหภาพแรงงานได้นั้น จะต้องมีคุณสมบัติ ดังนี้

๑.  มีอายุ ๑๕ ปี บริบูรณ์

๒. ต้องเป็นลูกจ้างของนายจ้างคนเดียวกันกับผู้ขอจดทะเบียนสหภาพแรงงานหรือถ้าเป็นสหภาพแรงงานรวมอาจมีนายจ้างหลายราย จะต้องเป็นลูกจ้างซึ่งทำงานเดียวกันกับผู้ขอจดทะเบียนสหภาพแรงงาน

๓. ไม่เป็นลูกจ้างชั้นผู้บังคับบัญชาที่มีอำนาจในการจ้าง การให้บำเหน็จ หรือลงโทษลูกจ้าง ซึ่งต้องเป็นอำนาจโดยเด็ดขาด มิใช่เป็นเพียงผู้เสนอให้ผู้บังคับบัญชาเหนือขึ้นไปพิจารณา

แม้กฎหมายจะเขียนห้ามมิให้ลูกจ้างชั้นผู้บังคับบัญชาเป็นสมาชิกสหภาพแรงงาน แต่มิใช่ว่าเป็นการห้ามเด็ดขาด เพราะลูกจ้างสามารถจัดตั้งสหภาพแรงงานสำหรับลูกจ้างชั้นบังคับบัญชาแยกต่างหากก็ได้

แต่สมาชิกภาพของสหภาพแรงงงานก็สามารถสิ้นสุดลงด้วยโดยการตาย ลาออก ที่ประชุมใหญ่ของสหภาพแรงงานมีมติให้ออก หรือตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน ตัวอย่างเช่น ถ้าข้อบังคับกำหนดไว้ว่า หากสมาชิกขาดส่งค่าบำรุงสหภาพแรงงานติดต่อกันสามงวดก็ให้สมาชิกภาพสิ้นสุดลง หากสมาชิกสหภาพแรงงานขาดส่งค่าบำรุงตามที่กำหนดไว้นั้น สมาชิกภาพก็สิ้นสุดลงโดยอัตโนมัติ

สหภาพแรงงานจะต้องดำเนินกิจการของสหภาพแรงงานเพื่อประโยชน์ของสมาชิกเท่านั้น ดังต่อนี้

  • เรียกร้อง เจรจาทำความตกลงและรับทราบคำชี้ขาด หรือทำข้อตกลงกับ

นายจ้าง หรือสมาคมนายจ้างในกิจการของสมาชิกได้

  • จัดการและดำเนินกิจการเพื่อให้สมาชิกได้รับประโยชน์ ทั้งนี้ ภายใต้บังคับ

ของวัตถุประสงค์ของสหภาพแรงงาน

  • จัดให้มีบริการสารสนเทศเพื่อให้สมาชิกมาติดต่อเกี่ยวกับการจัดหางาน
  • จัดให้มีบริการให้คำปรึกษาเพื่อแก้ไขปัญหาหรือขจัดข้อขัดแย้งเกี่ยวกับการ

บริหารงานและการทำงาน

  • จัดให้มีการให้บริการเกี่ยวกับการจัดสรรเงินหรือทรัพย์สิน เพื่อสวัสดิการของ

สมาชิกหรือเพื่อสาธารณประโยชน์ ทั้งนี้ ตามที่ที่ประชุมใหญ่เห็นสมควร

  • เรียกเก็บเงินค่าสมัครสมาชิก และเงินค่าบำรุงตามอัตราที่กำหนดในข้อบังคับ

ของสหภาพแรงงาน

อำนาจของสหภาพแรงงานตามที่ได้กล่าวมานี้ มีหัวใจสำคัญอยู่ที่ สหภาพจะต้องดำเนินการเพื่อประโยชน์ของสมาชิกเท่านั้น หากสหภาพไปดำเนินการทำความตกลงใดๆ กับนายจ้าง หากไม่เป็นเพื่อประโยชน์ของสมาชิกเสียแล้ว หรือทำให้สมาชิกเสียประโยชน์เสียแล้ว ข้อตกลงระหว่างนายจ้างกับสหภาพแรงงานจะไม่มีผลผูกพันลูกจ้าง

การดำเนินกิจการของสหภาพแรงงานนั้น หากการดำเนินการใดที่อาจมีผลกระทบกระเทือนถึงส่วนได้เสียของสมาชิกเป็นส่วนรวมแล้ว การดำเนินกิจการนั้นจะต้องเป็นไปตามมติของที่ประชุมใหญ่สหภาพแรงงาน ดังนี้

  • แก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับ
  • ดำเนินกิจการอันอาจกระทบกระเทือนถึงส่วนได้เสียของสมาชิกเป็นส่วนรวม
  • เลือกตั้งกรรมการ เลือกตั้งผู้สอบบัญชี รับรองงบดุล รายงานประจำปี และ

งบประมาณ

  • จัดสรรเงินหรือทรัพย์สินเพื่อสวัสดิการของสมาชิกหรือเพื่อ

สาธารณประโยชน์

  • เลิกสหภาพแรงงาน
  • ควบสหภาพแรงงานเข้าหากัน หรือ
  • ก่อตั้งสหพันธ์แรงงานหรือเป็นสมาชิกของสหพันธ์แรงงาน

การดำเนินกิจการทั้ง ๗ ข้อนี้ มีเพียงกิจการตามข้อ ๒ ที่คงจะต้องแปลความว่า “ กิจการอัน

อาจกระทบกระเทือนถึงส่วนได้เสียของสมาชิกส่วนรวม” คืออะไร ผู้เขียนขอยกตัวอย่างที่เห็นได้ชัด ได้แก่ การยื่นข้อเรียกร้องเพื่อเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้าง การนัดหยุดงาน การฟ้องคดีที่เกี่ยวข้องกับสมาชิกด้วยส่วนรวม เป็นต้น หากสหภาพแรงงานฝ่าฝืนดำเนินไปโดยไม่ผ่านมติที่ประชุมใหญ่แล้ว การกระทำนั้นไม่มีผลผูกพันสมาชิก

การดำเนินกิจการของสหภาพแรงงาน ซึ่งรวมถึงลูกจ้าง กรรมการ อนุกรรมการ และเจ้าหน้าที่ของสหภาพแรงงานนั้น เป็นการกระทำเพื่อประโยชน์ของสมาชิก ดังนั้น จึงได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายให้ได้รับการยกเว้นไม่ต้องถูกกล่าวหา หรือฟ้องอาญาหรือทางแพ่งอีกด้วย หากเป็นการดำเนินการ ดังต่อไปนี้

  • เข้าร่วมเจรจาทำความตกลงกับนายจ้าง สมาคมนายจ้าง ลูกจ้าสหภาพแรงงาน

อื่น สหพันธ์นายจ้างหรือสหพันธ์แรงงาน เพื่อเรียกร้องสิทธิหรือประโยชน์ที่สมาชิกควรได้รับ

  • นัดหยุดงาน หรือช่วยเหลือ ชักชวนหรือสนับสนุนให้สมาชิกนัดหยุดงาน
  • ชี้แจงหรือโฆษณาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับข้อพิพาทแรงงาน
  • จัดให้มีการชุมนุมหรือเข้าร่วมโดยสงบในการนัดหยุดงาน

ทั้งนี้ เว้นแต่เป็นความผิดอาญาในลักษณะความผิดเกี่ยวกับการก่อให้เกิด

ภยันตรายต่อประชาชน เช่น การวางเพลิง เป็นต้น  เกี่ยวกับชีวิตร่างกาย เช่นทำร้ายร่างกาย หรือการฆ่าคนตาย เป็นต้น เกี่ยวกับเสรีภาพและชื่อเสียง เช่น หน่วงเหนี่ยวกักขัง เป็นต้น  เกี่ยวกับทรัพย์ เช่น ลักทรัพย์ หรือ หมิ่นประมาท เป็นต้น และความผิดในทางแพ่งที่เกี่ยวเนื่องการกระทำความผิดทางอาญาในลักษณะดังกล่าว

บทความนี้ เป็นการปูพื้นฐานให้ท่านผู้อ่านได้เข้าใจที่มาที่ไปของสหภาพแรงงาน และได้รับสิทธิประโยชน์ตามกฎหมายอย่างไร แต่ก็ยังมีสหภาพแรงงานที่คิดว่า เมื่อได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายแล้วจะกระทำอะไรก็ได้ จะปลุกระดมว่ากล่าวนายจ้างอย่างไรก็ได้ ผู้เขียนใคร่อยากจะชี้ให้เห็นว่า การที่สหภาพแรงงานไปกระทำการใดๆ อันเป็นการหมิ่นประมาทนายจ้างนั้น จะไม่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย และหากตัวแทนของสหภาพแรงงานหากได้ฝ่าฝืนกระทำ อาจถูกเลิกจ้างโดยไม่จ่ายค่าชดเชยได้ง่ายๆ

                                                                                                                   ผู้เขียน….นายวรเศรษฐ์  เผือกสกนธ์

                                                                                                                   ที่ปรึกษากฎหมาย